วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Japan trip โตเกียว ทริปชุ่มฉ่ำ วันที่3 เดินเที่ยวย่านชิบูย่า ฮาราจุกุ ชินจุกุ

มาถึงวันที่3 กันแล้ว ใครยังไม่อ่านวันที่1 กับ 2 ก็อย่าลืมกลับไปอ่านกันนะ


วันนี้เราต้องเช๊คเอ้าท์จากโรงแรม เพื่อย้ายที่พักกัน โดยพนักงานได้ติดต่อเรื่องการฝากกระเป๋ากับทางโรงแรมที่ ueno เหมือนกันให้ เราก็จัดแจงลากกระเป๋า ของฝาก สัมภาระ ไปเลย ไม่ไกลจากโรงแรมเดิมมากนัก พอไปถึงพนักงานก็ออกมารับกระเป๋า แต่เราแอบเห็นมีป้ายติดที่เคาเตอร์ว่ามีค่าฝากกระเป๋า เราก็ตกใจสิ เลยถามพนักงานไป พนักงานบอกว่าฟรี เพราะทางโรงแรมเดิมโทรมาช่วยคุยให้ โชคดีไป

ฝากของเสร็จเราก็ออกเดินทางเป้าหมายแรกคือตลาดปลา tsukiji แผนที่เที่ยวมีไม่กี่ที่ ส่วนใหญ่ก็เดินชมตลาด ดูของกิน


มาถึงเราก็เริ่มเดินชมตลาดด้านนอกกันก่อน ริมถนนมีร้านอาหารแบบยืนทานด้วย ไม่เคยเห็น

ร้านอาหารแบบยืนทาน

เดินๆก็เจอร้านโมจิสตรอเบอรี่ คืออยากกินมานานแล้ว แต่ที่อยากกินเคยดูในมาจิเดะ เจแปน มันเป็นไส้ครีมกับสตรอเบอรี่ทั้งลูกอยู่ในตัวโมจิเลย จะตามไปทานร้านนั้น ก็ปิดไปแล้ว ไม่รู้หากินที่ไหนได้อีก เจออันนี้เลยเอามาลองแก้ขัดไปก่อน


ต่อมาเจอร้านขายไข่หอยเม่น คือไม่เคยกินเลย เลยสั่งมาลองดูราคาตั้ง 1000เยนแหนะ เอาน่ะลองดู สักครั้งในชีวิต 

ฝาเดียว1000เยน ราดโชยุกับวาซาบินิดหน่อย

ลองแล้ว เอิ่ม ...... ไม่เห็นมีรสชาติอะไรเลยอ่ะ เสียดายตังค์ รู้งี้กินหอยตัวใหญ่ๆแบบที่คนจีนข้างหน้าสั่งดีฝ่า 500เยนเอง แถมเค้ากินน่าอร่อยด้วย

เดินต่อเจอร้าน เข้าไปดูราคา แทบช๊อค ขาปู 3500 เยน เห็นคนจีนสั่งยืนกินน่าอร่อยมาก นี่เค้าทำตกพื้นจะรีบวิ่งไปกินเลยเนี่ย แต่เห็นราคาแล้วไม่ไหว ราคาจะเท่ารองเท้าที่ซื้อเมื่อวานอยู่และ หักห้ามใจเดินออกมาดีกว่า

นี่ไงขาปู 3500 เยน ส่วนที่ย่างๆไม่รู้อะไร

อันนี้ร้านไข่ ทำไมคนต่อแถวเยอะจังก็ไม่รู้




เดินๆดูก็เป็นร้านพวกข้าวหน้าทะเลต่างๆ ซูชิ ปลาดิบ พวกนี้ น่าทานทั้งนั้น เลือกไม่ได้สักที เลยตัดสินใจไปเดินตลาดปลาด้านในก่อน เดินๆไป ทำไมมันเงียบๆหว่า สุดท้ายเจอร้าน จำได้ว่าน่าจะเป็นร้านซูชิได ทำไมปิดหมดทั้งแถบเลยอ่าาาา งง 

ใช่ร้านซูชิไดหรือเปล่า?

สุดท้ายเลยเดินกลับมาหาข้าวเช้ากินที่ตลาดด้านนอกกันอีกรอบ เดินเลือกไม่ถูก สุดท้ายก็เลยเข้าร้านนี้เพราะพนักงานให้คูปองฟรีซุปมา เลยกินร้านนี้ ติดกับกลยุทธ์การตลาดของลุงซะละ แต่ลุงแกใจดีจริงๆ ตอนเช้าเรากินกันไม่เยอะ เลยสั่งแค่ชามเดียว ลุงถามเอามิโสะ 2 เลยก็ได้ ฟรี!! โอเค จัดไปครับลุง

ร้านนี้แหละ  กิน2คน 1ชามอิ่มพอดี


อิ่มแล้วได้เวลากลับไปรถไฟใต้ดิน ฝนก็เริ่มเทลงมาอีกละ ไม่เป็นไร เรามีร่มติดตัวเสมอ ซื้อครั้งเดียวใช้คุ้มเลย แผนต่อไปเราจะไปเดินชอปปิ้งกันที่ชิบูย่ากัน ตามแผนที่เราวางไว้

แผนเที่ยวชิบูย่าคร่าวๆ

ที่แรก ไปง่ายๆเลย คือรูปปั้นหมาฮาจิโกะ แล้วก็ 5 แยกชิบูย่า ออกสถานีมาก็เจอ 

เจอแล้วรูปปั้นหมา .... เอิ่ม จบ

5แยกชิบูย่า ไปถึงไฟเขียวพอดี เลยเดินข้ามดู โดยไม่มีจุดหมายสักเท่าไร แต่คนไม่เยอะเท่าไร เพราะเป็นเวลากลางวัน วันธรรมดา และฝนตก


ไม่รู้จะไปไหน ไปตึก parco ดีกว่า มีช๊อปขายสินค้าวันพีซ แต่ระหว่างทางเจอช๊อปนารูโตะด้วย อยู่ชั้นเดียวกันเลย


ในที่สุดก็มาถึงช๊อปวันพีซแล้วววววววว.....




มีทั้งฟิกเกอร์

หนังสือกาตูน 

โมเดลขนาดเท่าของจริง

ขนาดลิฟท์ยังเป็นวันพีซ

 !!!!!!

สุดท้ายหักห้ามใจด้วยการซื้อแค่ผงผสมน้ำอาบพอ อุซปเป็นกลิ่นกีวี ชิราโฮชิเป็นพีช พอได้ลองแล้วถึงกับต้องทึ่ง !!!!!  ตอนแรกก็ได้กลิ่นหอมนะ พอแช่ไปสักพักมันชินกลิ่นเลยไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนเอาตังไปละลายน้ำเล่น 5555+ 


เดินทางกันต่อ เราเลือกที่จะเดินไปยังฮาราจุกุ เดินไปกางร่มไป ฝนไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด สะพายเป้หนักๆเพราะขนของเตรียมย้ายเมืองอีก กว่าจะถึงจุดหมายแรก ร้านขายของฝากที่ตั้งใจว่าจะมาซื้อของไปฝากเพื่อนๆ

แผนที่เที่ยว harajuku



ยืนเลือกอยู่นาน อ่านออกบ้างไม่ออกมั่ง ดูรูปด้านหลังประกอบมั่วๆเอา สุดท้ายก็ได้มา 3 กล่อง 3แบบ ให้เดากันเอาเองว่าคืออะไรบ้าง 555+

ได้ของฝากเรียบร้อยแล้ว เดินช๊อปตามทางเรื่อยเปื่อย มีช๊อป nike ไปจนสุด ตั้งใจว่ากินข้าวห่อไข่ร้าน apple tree แต่หาไม่เจอ ด้วยว่าฝนตก+กับหิว เลยแวะร้านนี้หน้าร้านมีภาษาไทยด้วย


 ราเมนมาแล้ว ซดน้ำซุปร้อนๆ หลังจากเดินท่ามกลางสายฝน ให้ร่างกายอุ่น

เป้าหมายต่อไปของเราคือศาลเจ้าเมจิจิงกู โดยเราแวะฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟก่อน จะได้เดินสะดวก 

สถานีรถไฟฮาราจุกุ สวยดี แต่คนเยอะ ฝนก็ตก จะถ่ายเต็มๆไม่ได้เลย


 สะพานจินกู

ถึงแล้วทางเข้าไปศาลเจ้า ธรรมชาติฝุดๆ

ทางเข้าเป็นต้นไม้สองข้างทาง

เราเดินไปได้สักพักยกนาฬิกามาดู พร้อมเปิดแผนที่ พึ่งได้ครึ่งทาง แต่เวลาเราจะหมดแล้ว เลยตัดสินใจกลับ ออกมาก่อน รอบหน้าจะเดินไปให้ถึงให้ได้ มาขึ้นรถไฟที่สถานีฮาราจุกุ ข้างทางเป็นต้นไม้สวยงาม

เราเดินทางมาสถานีชินจุกุถึงประมาณ 6โมงเศษๆ แล้วเราจองรถบัสเพื่อจะออกนอกเมืองตอน 19.10 นาที ทำให้เรามีเวลาช๊อปปิ้งที่ชินจุกุไม่มาก ก็เลยเลือกที่จะเดินเล่นในตึก โยโดบาชิคาเมร่า ซึ่งอยู่ใกล้ๆบริเวณที่ขึ้นรถบัส และค้นพบว่าเค้าแบ่งย่อยเป็นหลายๆตึกในบริเวณนั้น ซึ่งแต่ละตึกจะแยกสินค้าเช่น ตึกกล้อง ตึกของเล่นและเกมส์ ตึกสินค้าไอที และตึกของเล่นผู้ใหญ่ มีอีกหลายตึกแต่จำไม่ได้ เราเลยเลือกไปเดินตึกเกมและของเล่นรอเวลา ที่ชั้นบนสุดมีตู้เกม เราเลยไปยืนดูเค้าเล่นกัน ตู้เกมเดี๋ยวนี้เค้าใช้การ์ดอะไรไม่รู้ วางเล่นด้วย 


ชั้น1 เป็นสินค้าเกี่ยวกับเกม

มีสินค้าโปเกม่อนด้วย

อันนี้เป็นเกี่ยวกับหนังสือบทสรุปเกมส์ อันนี้เป็นบทสรุปเกมโปเกม่อน จะหน้าไปไหนเนี่ย

ชั้นบนสุดเราแอบไปยืนดูตู้เกม monster hunter อยากเล่นมากกกก

อยากลองไปตึก โยโดบาชิ สินค้าเกี่ยวกับผู้ใหญ่ มันจะมีอะไรน้า กว่าจะหาเจอ ทางเข้าเล็กเกิน แต่สุดท้ายไม่กล้าเข้าไป 

รีบวิ่งกลับไปที่สถานีรถบัส เหลือเวลานิดหน่อย ถามพนักงานว่าให้รอตรงนี้ใช่ไหม พนักงานก็พยักหน้า เรารอจนถึง 19.10 เราไม่เห็นรถ งงมาก เลยถามพนักงานอีกรอบ พนักงานบอกว่า รถออกไปแล้ว อ้าว ซวยแล้ว แล้วทำไมบอกให้รอตรงนี้เนี่ย คิดในใจ ตกรถซะแล้วเรา โชคดีพนักงานเค้าช่วยวอร์แจ้งเรื่องให้ไรไม่รู้ แล้วบอกให้เราตามเค้าไป เราก็รีบวิ่งตามเค้าไป ฝนก็ตก กระเป๋าก็หนัก เป็นจุดที่รถบัสวนมาพอดี เราเลยได้ขึ้น เกือบไปแล้วไหมล่ะ

ไหนพี่บอกให้ผมรอตรงนี้ไง T_T

นั่งรถบัส 2 ชม. ก็มาถึงคาวากุจิโกะ 3ทุ่มกว่า สถานีแทบไม่มีคนอยู่ เราเลยเปิดแผนที่เตรียมเดินไปโรงแรม แวะซื้อขนมนมเนยก่อนเข้าโรงแรม ในที่สุดเราก็ถึงโรงแรมของเรา อาบน้ำนอนทันที เพราะเหนื่อยมาก

 โรงแรงของเรา ชื่อว่า สวะ โฮเทล (sawa hotel)

 วันที่3 ก็จบลงแล้ว  เตรียมลุยต่อพรุ่งนี้ ขอให้ฝนไม่ตกทีเถอะ อยากเห็น ภูเขาฟูจิ

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Japan trip โตเกียว ทริปชุ่มฉ่ำ วันที่2 ชมวัดชมสวนชมเกาะ

ตื่นเช้ามาวันที่ 2 (7กค.2015)ใครยังไม่ได้อ่านตอนแรกก็สามารถกลับไปอ่านได้ที่นี่ครับ http://nduckky.blogspot.com/2015/07/japan-trip-1.html

ตื่นมารีบเปิดหน้าต่างดูทันทีว่าฝนตกไหม ลุ้นระทึก ปรากฎว่าฝนไม่ตกครับ แต่ดูพยากรณ์อากาศบอกว่า ใกล้ตกแล้ว อ้าว ซวยแล้วไง


ตามแผนเดิมกะว่าจะไปตลาดปลาแต่ว่าด้วยแผนที่ผิดพลาดจากเมื่อวานทำให้วัด asakusa ก็ยังไม่ได้ไป ลังเลว่าจะไปเก็บ asakusa หรือ ตลาดปลาดี แต่เห็นว่าฝนยังไม่ตก ไป asakusa ดีกว่า เปลี่ยนแผนกระทันหันทันที รีบอาบน้ำแต่งตัวออกจากโรงแรม และไม่ลืมพกร่มไปด้วย มุ่งตรงไปวัด asakusa กัน นั่งรถไฟ 3 สถานีก็ถึง

แผนที่เที่ยวของเราวันนี้


ลงจากสถานี เลือกเดินไปสะพานแดงก่อนฝนยังไม่ตก จะได้เห็นวิว และถ่ายรูปได้สะดวก ขณะกำลังถ่ายรูปอยู่มีคุณลุงญี่ปุ่นมาทักเป็นภาษาญี่ปุ่นซึ่งแน่ล่ะ เราฟังไม่ออก แต่แกทำมือแสดงเป็นท่าถ่ายรูป พร้อมชี้เราสองคน อ๋ออออ แกจะช่วยถ่ายรูปให้เราด้วย ใจดีจุง เราเลยยื่นมือถือให้ลุงไป ลุงก็ถามว่ากดตรงนี้ใช่ไหม สักพักลุงก็วิ่งเอาไอโฟนเราไป ม่ายช่ายยยยย ลุงแกก็ถ่ายรูปให้เรา แล้วถามว่า china ??? เราก็บอกว่า ไม่ใช่ๆ เรามาจาก thailand แกก็พยักหงึกๆพร้อมยิ้ม เราก็ ขอบคุณในความใจดีของลุงเป็นภาษาญี่ปุ่น 

นี่ อันนี้ลุงถ่ายให้ !!!

ฟ้าเริ่มครึ้มและ ใกล้ละ

ถ่ายเสร็จเราก็เดินกลับมาทางประตูโคมแดง ฝั่งตรงข้ามเป็นศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวชั้นบนเป็นจุดชมวิว แต่เราลืมแวะ เข้าประตูไปเป็นถนนนากามิเสะ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขนม ของฝาก ตอนแรกกะว่าจะกินคิบิดังโงะกับชาเขียว แต่ปรากฎว่าทางร้านบอกร้านยังไม่พร้อมเปิด เราก็เลยไม่ได้รอ ก่อนถึงวัดก็แวะซื้อของฝากนู้นนี่โน้นตามทาง จนถึงร้านซาลาเปาทอด สั่งใส้ไรมาไม่รู้ลืมแล้ว แต่อร่อยดี อยู่ก่อนถึงประตูที่2

ประตูอันแรก ชื่อว่าประตูสายฟ้าคามินาริมอน

ถนนนากามิเสะ

ร้านซาลาเปาทอด

ประตูทางเข้าที่2 ประตูคลังสมบัติโฮโซมง

ถึงวัดแล้ว เข้าไปทำบุญกัน พร้อมเสี่ยงเซียมซีเห็นเค้าว่าแม่น ของเราได้ ซวยสุดๆ จำไม่ได้เขียนว่าไรสักอย่าง unfortune ประมาณว่าโคตรซวยอ่ะ รีบเอาไปผูกเลยจ้า เก็บไว้ทำเกลืออะไร 5555

ขนาดมาตอนเช้าวันธรรมดา คนยังเยอะเลย

เสร็จเรียบร้อยเราก็เดินออกทางด้านซ้าย ทางฝั่งเจดีย์ ก็เจอพระญี่ปุ่นกำลังเดินไปไหนไม่ทราบ มีตำรวจนำขบวนด้วยอ่ะ

 เดินออกทางฝั่งเจดีย์

พระญี่ปุ่นเดินไปไหนไม่รู้ มีตำรวจนำขบวนด้วย

เดินไปด้านข้างเป็นสวน เจอคุณลุงจูงหมามา เลยขอถ่ายรูป ลุงแกก็ใจดี สั่งให้หยุด ก็หยุดรอให้เราเข้าไปถ่าย คุณลุงอธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่นเหมือนเดิม "chiba inu" "japan" แค่สองคำ แต่พอฟังออก พอถ่ายเสร็จคุณลุงก็แซวว่าแต่งตัวเหมือนกันเลย หมากับคน 5555+

เดินไปทางสวนต่อ เดินเล่นไปเจอ คนใส่ชุดญี่ปุ่นมากัน2คน ผู้ชายกับผู้หญิง เค้าเรียกชุดไรไม่รู้ เลยไปขอเค้าถ่ายรูป ไหนๆก็ถ่ายรูปกับหมาญี่ปุ่นละ ถ่ายรูปกับคนญี่ปุ่นด้วยเลย

เค้าเรียกชุดไรไม่รู้

ถ่ายเสร็จ ก็ขอบคุณเค้า แล้วเค้าก็คุยกับแฟน ฟังสำเนียง อ้าว จีนนี่หว่า ไม่ใช่ญี่ปุ่น ก็เลยยังไม่มีรูปคู่กับคนญี่ปุ่นสักที จากนั้นเราก็เดินต่อ ในที่สุดเราก็เจอร้านเมล่อนปัง ยืนดู ยืนดม แล้วเราก็เดินจากไป เพราะเรากะว่าจะไปกินราเมน กินเมล่อนปังกลัวจะอิ่มเกินไป

เจอละเมล่อนปัง ตามมากับคนจีน

เดินย้อนกลับมาที่ประตูโฮโซมงผ่านประตู แล้วเลี้ยวขวาเดินเส้นด้านข้าง เจอคนต่อแถวรอกินร้านอะไรไม่รู้ แต่ถ้าจำไม่ผิดเคยเห็นในหนังสือเป็นร้านเทมปูระเจ้าดัง แต่จำได้ว่าแพงเราเลยไม่เอาดีกว่า เดินเส้นด้านข้างที่ขนานกับถนนนากามิเสะออกมาจนถึงถนนเส้นด้านหน้าประตูสายฟ้า เดินไปทางซ้ายจำได้ว่ามีราเมน kagetsu arashi ลงในหนังสือเที่ยวล่าสุดเล่มสีชมพู ราคาไม่แพง ก็เลยแวะกิน ดูเมนูแล้วเข้าไปเป็นตู้หยอดเหรียญ มีคนมารอกินอยู่แล้วเป็นกลุ่มครอบครัว เราเข้าไปกะยืนดูเค้าหยอด เค้าหันมาเห็นเรา แล้วพูดว่า "ให้เค้าก่อนสิ" อ้าวคนไทยนี่นา เราเลยตอบไปว่า "ขอบคุณครับ" คุณพ่อหัวหน้าครอบครัวพกหนังสือเที่ยวล่าสุด เล่มสีชมพูมาด้วย ลายแทงเดียวกัน ก็ดูเลขจากในเมนูแล้วมากดเอา แล้วก็เอาใบไปยื่นให้เคาเตอร์ นั่งรอก็ได้กินละ

เราสั่งแบบแยกน้ำ กับอีกชามเป็นของแฟนเป็นเหมือนน้ำซุปกระเทียมสักอย่าง อร่อยดี

จากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟใต้ดินไปสถานี tokyo กัน ตามแผนว่าจะไปชมพระราชวัง ถึงสถานีฝนเริ่มตกเบาๆหาทางเดินไปบริเวณด้านหน้า เดินชมสวนสักพัก ฝนเริ่มตกแรง ถ่ายรูปไม่ถนัดเราก็เลยกลับกัน โดยไม่ได้เข้าไปดูตรงส่วนที่เป็นสะพานแว่นตา

แผนที่เที่ยวโตเกียว


สระด้านหน้า ตราห่านคู่



panorama ฟ้ามืดครึ้ม

ตอนแรกว่าจะไปชอปปิ้งตรงบริเวณสถานีรถไฟโตเกียว แต่ไปๆมาๆ ต้องเข้าไปในสถานีก่อน เราก็เลยไม่ได้เข้าไป รอรอบไหนใช้ JR โตเกียว ค่อยแวะก็ได้ เดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินเตรียมตัวไป ginza กันต่อ

สถานีรถไฟโตเกียว 

นั่งรถไฟใต้ดินสถานีเดียวก็ถึงสถานีกินซ่า เดินออกมาจะเริ่มต้นที่หอนาฬิกา หันทิศเท่าไรก็หาไม่เจอหอนาฬิกา เปิดแผนที่ดูมันก็อยู่ตรงแยกนี้นี่นา หรือเรามาผิดที่ ถึงไม่เห็นหอนาฬิกาเนี่ย ช่างมันเดินงมเอาก็ได้ พอข้ามถนนเท่านั้นแหละ ก็เจอหอนาฬิกา เพราะเราออกมาตรงตึกหอนาฬิกาพอ มันอยู่บนหัวเรา โธ่ ฉลาดจริงๆ 

เจอแล้วหอนาฬิกา ต้องกางร่มถ่าย เพราะฝนตก

เจอหอนาฬิกาแล้ว กางแผนที่ดูว่าจะไปไหนบ้าง ยังอิ่มท้องอยู่เลยของกินก็ตัดไป ที่มาร์คไว้คือจุดที่สนใจ uniqlo กับ gu ก็ไปที่ ueno มาแล้ว ตัดออกละกัน หอนาฬิกาก็ได้เห็นละ เหลือที่เดียวคือ apple store 

แผนที่เที่ยวกินซ่า

เดินชม apple store เพราะเมืองไทยไม่มี เข้าไปพนักงานที่นี่แต่งตัวสบายมาก บางคนใส่ขาสั้นก็มี เจ๋งเลย  มี apple watch ขายแล้วด้วย ก็เลยได้ลองเล่นดู ตึกมี4ชั้น พนักงานเยอะมาก ดูแล โต๊ะละหนึ่งคนเลย

ถึงแล้ว Apple store ginza

พนักงานใส่ขาสั้น ชิลมาก

apple watch แต่ละรุ่น มีโชว์ให้เห็นกันหมด

ขึ้นมาชั้นบนสุดก่อนเป็น gunius bar แนะนำการใช้งานผลิตภัณฑ์แอปเปิ้ล อันนี้มีต่อคิวรอทีเดียว

ชั้น3 เป็นเหมือนห้องประชุม มีสไลด์โชว์ ไม่รู้เค้าดูอะไรกัน เลยถ่ายจากด้านนอกเอา

ชั้น2 จำหน่าย acc. เกี่ยวกับแอปเปิ้ล 

หมดละกินซ่า ตามแผนต่อไปเราจะไปเที่ยวเกาะ odaiba กัน กางร่มลุยฝนไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ไปลงสถานี shimbashi แล้วต่อรถไฟลอยฟ้าไปลงที่เกาะ odaiba สถานี odaiba kaihinkoen

นั่งรถไฟ มองเห็นวิวทะเล

มาถึงแล้วกางแผนที่อีกรอบ มีที่ไหนหน้าสนใจมั่งนะ ใกล้สุดเป็นสวนริมหาด แต่ว่าฝนตก อากาศหนาวมาก เลยถ่ายรูปจากด้านบนสถานีแทน


ขอไม่ลงไปนะ พี่หนาว

เป้าหมายต่อไปคือตึก deck มีเลโก้แลนด์ กับ พิพิธภัณฑ์ทริคอาร์ตมิวเซียม เดินกางร่มไปกันเลย ตึกdeck เราสามารถมองเห็นได้จากสถานีรถไฟเลย มีทางเชื่อมสามารถเดินไปโดยไม่ต้องเหยียบพื้นเกาะเลย


ถึงแล้วดูแผนที่บอกว่าแบ่งเป็น 2 ตึกคู่กัน เข้าประตูไป ร้านแรกที่เจอคือ abc mart ขายรองเท้า เห็นติดป้ายมี summer sale เลยแวะสักหน่อย

พนักงานแนะนำสเปรย์ฉีดกันน้ำมาด้วย ดีเลย ฉีดแม่มทุกคู่เลย ตกดีนัก และอีกอย่างไม่รู้จะรีบซื้อทำไม ต้องแบกเดินเที่ยวอีก ห้างญี่ปุ่นนี่ยังไม่เคยเห็นมีที่ฝากกระเป๋าเลย สงสัยต้องพึ่งบริการตู้ล๊อคเกอร์เก็บของอย่างเดียว ไม่เป็นไร ยอมถือก็ได้วะ อันดับแรกจะไป เลโกแลนด์ เดินหา ไปเจอชั้นนึง ชั้น3 มั้ง คุยไปคุยมา เค้าบอกอนุญาตให้เด็กเข้าเท่านั้น สงสัยเป็นพวกของเล่นเด็กๆมั้ง เค้าบอกให้ไปชั้น 7 (ถ้าจำไม่ผิด) เราก็เดินขึ้นมาชั้น7 เป็นช๊อปขายสินค้าของเลโก้ ไม่ใช่อ่ะ ดูในมาจิเดะ มันเป็นให้เดินชม เลโก้ต่อเป็นเมืองไรงี้ หาทางเข้าไม่เจอ เดินไปเดินมาเจอ trick art museum ก็เลยเข้าอันนี้ก่อนละกัน






เสร็จละเลิกล้มกับเลโก้แลนด์ ท้องเริ่มหิว ไปพิพิธภัณฑ์ทาโกยากิ ดีกว่า ที่นี่เค้ารวมทาโกะเจ้าอร่อยๆหลายๆร้านมาที่เดียวกัน ที่สำคัญ เป็นแบบหยอดตู้ทุกร้าน งงหนักเลย เดินๆดูน่ากินหลายร้านเลย อยากกินทุกร้าน แต่แต่ละร้านนี่ 6 ลูกขึ้น ไม่มีแบบแบ่งขาย ร้านละ2ลูกหรือไงเนี่ย สุดท้ายเลยเลือกร้านที่คนกินเยอะๆ
ด้านหลังมีกระจก กินไป ชมวิวไปด้วย

เริ่มเหนื่อย ของก็เริ่มเยอะละ กลับโรงแรมไปเก็บของดีกว่า นั่งรถไฟมาลง shimbashi แล้วต่อใต้ดินไปลง ueno เก็บของใส่ห้องเรียบร้อย เวลาเหลือ ไป akihabara ดีกว่า นั่งรถไฟแค่3 นาทีเอง ไปซ่อมเมื่อวานสักหน่อย เป้าหมายที่เราจะไปคือตึก pop life กับ hobby off 


ตึก pop life คือตึก sex shop ที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียว ได้ข้อมูลมาจาก http://www.japan50.com/2015/pop-life-department-sex-shop/
เราเลยแวะไปดูสักหน่อย โดยภายในห้ามถ่ายรูปและแบ่งเป็นชั้นๆ ชั้น1 และใต้ดิน หนังแผ่น ชั้น2 ของเล่นผู้ชาย ชั้น3 ของเล่นผู้หญิง ชั้น 4 ถุงยาง เจลหล่อลื่น ชั้น 5 เป็นอะไรนี่แหละ ลืมละ ชั้น6 เป็นชุดคอสเพลย์ ชุดฟอร์มต่างๆ

ได้ mp3มาแจกเพื่อนๆ1 เครื่อง (แก้ไขข้อมูลนะครับ ใหญ่ที่สุดในโตเกียวไม่ใช่ในโลก)

จากนั้นเดินไปร้าน hobby off ขายสินค้ามือสอง เดินไปถึงปรากฎว่าร้านปิดแล้ว ร้านปิดสองทุ่ม ก็เลยตัดสินใจนั่งรถไฟใต้ดินกลับเลย ลงสถานี ueno เริ่มจะหิวอีกแล้ว เลยหาร้านกินตามหน้าสถานี ร้านตามหน้าสถานีนี่เหมือนคนญี่ปุ่นแวะกินก่อนเข้าที่พักกัน เพราะเค้าไม่มีร้านบะหมี่เกี้ยวข้างทางแบบบ้านเรา ก็เลยต้องกินเอาหน้าสถานีนี่แหละ หยอดตู้ นั่งรอ แปบเดียวก็ได้ แกงกระหรี่ กับราเมน

หิวเลยตักกินไปคำนึง นึกคิดได้ว่าต้องถ่ายรูปก่อน


กินเสร็จ แวะร้านสะดวกซื้อ รอบนี้เอามา 4 ยี่ห้อเหมือนเดิม แต่ลืมถ่ายรูป ลองเปลี่ยนจากคิรินกระป๋องทอง เป็นกระป๋องขาวดูบ้าง พี่ก็ยังแยกไม่ออกว่ายี่ห้อไหน อร่อย

อาบน้ำ แช่น้ำร้อนให้ขาผ่อนคลาย เดินทั้งวัน แล้วออกมาเก็บกระเป๋า เตรียมเช๊คเอ้าพรุ่งนี้ เพราะเราต้องย้ายโรงแรม แต่ของเยอะมากเลยลงไปถามพนักงานว่ามีบริการส่งของไปที่โรงแรมไหม เราจะให้ส่งไปที่โรงใน ueno นี่แหละ เลือกวันที่ถึงเป็นวันสุดท้าย เพราะวันสุดท้ายจะกลับมาพักที่นี่ แต่โรงแรมเดิมนี้มันเต็ม เลยต้องย้ายไปโรงแรมอื่น จะใช้บริการล๊อคเกอร์มันก็มีบริการแค่3 วัน เค้าเลยบอกว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวเค้าโทรติดต่อโรงแรมนั้นให้ ว่าเราจะขอฝากกระเป๋าล่วงหน้าก่อนพัก 4 วันแหนะ ดีใจ จัดการกับกระเป๋าได้และ ได้เวลาเข้านอน คืนวันที่ 2 จบไปอีก 1 วัน